ข้อ 2 ถ้าบริษัทต้องการเพิ่มทุน โดยการออกหุ้นสามัญกับการออกหุ้นกู้ ท่านมีหลักในการพิจารณาในเรื่องนี้อย่างไร และจะมีผลกระทบต่อโครงสร้างเงินทุน (Capital Structure) กับต้นทุนของเงินทุน (Cost of Capital) ของบริษัทอย่างไร
ตอบ 2.1 ถ้าบริษัทต้องการเพิ่มทุน โดยการออกหุ้นสามัญกับการออกหุ้นกู้ ท่านมีหลักในการพิจารณาในเรื่องนี้อย่างไร
1. การเพิ่มทุนโดยการออกหุ้นสามัญ :
เป็นการหาเงินโดยการเพิ่มทุน มีการออกหุ้นสามัญใหม่จำหน่าย อาจจะจำหน่ายให้กับผู้ถือหุ้นเดิม เพื่อรักษาสัดส่วนเดิมไว้ไม่เสียสิทธิ์ในการบริหารงาน และผลตอบแทนต่อมาภายหลังได้ บริษัทมีความต้องการเงินทุนที่จะขยายสาขาซึ่งได้มีการออกหุ้นเพิ่มอีก 500 หุ้น จำหน่ายแก่ผู้ถือหุ้นเดิม ฉะนั้น สัดส่วนก็จะยังคงเหมือนเดิม ในทางตรงข้าม ถ้ามีการจำหน่ายหุ้นสามัญออกเพิ่มให้แก่ผู้ถือหุ้นรายใหม่ และรายเดิมส่วนหนึ่ง สัดส่วนของผู้ถือหุ้นจะเปลี่ยนไป จะไม่มีความเสี่ยงทางการเงิน ซึ่งเป็นความเสี่ยงเนื่องมาจากการไม่สามารถชำระดอกเบี้ยต่อเจ้าหนี้ได้ แต่ก็คงยังมีความเสี่ยงทางธุรกิจ เช่น ความผันผวนของความต้องการสินค้า, ความผันผวนของราคาขาย, ความผันผวนของราคาปัจจัยในการผลิต, ความสามารถในการปรับราคาขายสินค้า, ความสามารถในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ให้ทันกับเวลา, ความเสี่ยงที่เกิดจากการค้าขายกับต่างประเทศ และต้อนทุนคงที่ของกิจการ
ข้อดี
- สามารถระดมเงินได้ง่าย โดยการจำหน่ายแก่ผู้ถือหุ้นเดิมก่อน
- ไม่มีความเสี่ยงทางการเงิน ไม่ก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายประจำ
- สัดส่วน Ratio Debt Equity ต่ำก่อให้เกิดผลดี
- ถ้าปีใดบริษัทมีการดำเนินงานไม่ดี ก็จะไม่จ่ายเงินปันผลก็ได้
- ไม่มีกำหนดเวลาไถ่ถอนเหมือนพันธบัตร
ข้อเสีย
- ROE และ EPS ต่ำเมื่อเทียบกับวิธีการหาเงินจากแหล่งหนนี้สิน เพราะเมื่อเพิ่มทุนแล้วทำให้จำนวนมูลค่าและจำนวนหุ้นเพิ่มขึ้น
- ถ้าอยู่ในภาวะที่เศรษฐกิจรุ่งเรือง การระดมเงินทุนจากแหล่งนี้อาจจะทำให้ผู้ซื้อหุ้นสามัญบางคนมมองว่าบริษัทอาจจะมีปัญหาในด้านบริหารงาน
- ต้นทุนของเงินสูงเนื่องจากเงินปันผลไม่สามารถประหยัดภาษีได้
2. การเพิ่มทุนโดยการออกหุ้นกู้ :
เป็นการหาเงินโดยการออกพันธบัตร, หุ้นกู้ ออกจำหน่ายให้กับผู้ซื้อโดยมีการกำหนดอัตราดอกเบี้ยของพันธบัตร และหุ้นก็ที่แน่นอน, กำหนดจำนวนปีที่ครบกำหนด, กำหนดมูลค่าราคาไถ่ถอน เช่น พันธบัตรมีราคา 1,000 บาท อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ย 10% การหาเงินทุนจากแปลงนี้ นอกจากจะมีความเสี่ยงทางธุรกิจเหมือนกับการหาเงินทุนจากแหล่งส่วนของเจ้าของแล้ว ยังมีความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มขึ้นมาอีก คือ ความเสี่ยงในการชำระค่าใช้จ่ายประจำ (ดอกเบี้ยจ่าย)
ข้อดี
- สามารถประหยัดภาษีได้ เพราะดอกเบี้ยจ่ายถือเป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษี ถ้าอัตราภาษีสูงเท่าไร ต้นทุนของเงินก็ก็จะยิ่งต่ำลง
- ค่า ROE และ EPS จะสูงกว่าการหาเงินทุนจากแหล่งส่วนของเจ้าของตามหลัก High Risk High Return ผลกำไรที่ได้ไม่ต้องแบ่งให้ผู้ลงทุนรายใหม่
- ในภาวะเศรษฐกิจเจริญรุ่งเรืองการหาเงินจากแหล่งหนี้สินจะเป็นผลดี เพราะอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนจะมากกว่าต้นทุนของเงินกู้
ข้อเสีย
- ความเสี่ยงสูงในการจ่ายค่าใช้จ่ายประจำ ถ้าบริษัทมีผลขาดทุนการหาเงินจากแหล่งนี้จะทำให้มีผลขาดทุนเพิ่มขึ้น
- Debt/Equity Ratio สูง ความเสี่ยงย่อมสูง
- นอกจากความเสสี่ยงในการจ่ายค่าใช้จ่ายประจำแล้วยังมีความเสี่ยงด้าน Maturity Risk Premium อีกด้วย ถือความเสี่ยงจากระยะเวลาครบกำหนดไถ่ถอน
- ถ้ามีสัดส่วนหนี้สินสูงทำให้ความสามารถในการกู้ยืมเงินลดลง
- เสี่ยงต่อการล้มละลาย
ตอบ 2.2 จะมีผลกระทบต่อโครงสร้างเงินทุน (Capital Structure) กับต้นทุนของเงินทุน (Cost of Capital) ของบริษัทอย่างไร
โครงสร้างเงินทุน หมายถึง การผสมผสานการใช้เงินทุนจากหนี้สิน หุ้นบุริมสิทธิ์ และหุ้นสามัญ ซึ่งทำให้ราคาหุ้นสามัญสูงสุด
ต้นทุนของเงินทุน (WACC) เช่น ต้นทุนของหนี้สินหลังเสียภาษี ต้นทุนของหุ้นบุริมสิทธิ์ ต้นทุนของหุ้นสามัญ ต้นทุนเสียโอกาส
สรุป : ในฐานะเป็นผู้บริหารจะตัดสินใจเลือกโครงสร้างเงินทุนที่เหมาะสมที่สุด ประกอบด้วยแปล่งเงินทุนจากทั้งสองแหล่ง คือจากส่วนของเจ้าของ และจากแหล่งหนี้สิน ในสัดส่วนเท่าใดนั้นขึ้นอยู่กับว่าโครงสร้างเงินทุนที่ใช้หนี้สินเท่าไร จึงจะทำให้ราคาหุ้นสามัญสูงสุด และ WACC ต่ำสุด โดยการคำนวณหาราคาหุ้นสามัญ (P0) และ WACC ณ Debt Ratio ระดับต่าง ๆ
ข้อ 3 ถ้าเห็นด้วยหรือไม่ว่าเป้าหมายที่สำคัญที่สุดในการดำเนินธุรกิจ คือ การทำกำไรให้ได้สูงสุด ถ้าท่านเป็นผู้บริหารธุรกิจ ท่านจะวางนโยบายการเงินเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ท่านได้วางไว้นั้นอย่างไร และท่านจะต้องคำนึงถึงปัจจัยอื่นใดอีกหรือไม่ ในการกำหนดนโยบายดังกล่าว
ตอบ 3.1 ถ้าเห็นด้วยหรือไม่ว่าเป้าหมายที่สำคัญที่สุดในการดำเนินธุรกิจ คือ การทำกำไรให้ได้สูงสุด
กำไรสูงสุดคือเป้าหมายสูงสุดแต่ไม่ใช่ทั้งหมด วัตถุประสงค์ของบริษัท (Goals of Corporation) คือ ผู้ถือหุ้นมีความมั่งคั่งสูงสด โดยหมายถึงการทำให้ราคาหุ้นของกิจการสูงสุด และต้องนึกถึงความรับผิดชอบต่อสังคม มีจริยธรรม กฎหมาย เพราะเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า
1. บริษัทดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ คือ ผลิตสินค้าต้นทุนต่ำ คุณภาพดี
2. บริษัทได้ค้นพบเทคโนโลยีใหม่ และพยายามผลิตสินค้า บริการและสร้างงานใหม่ให้แก่ชุมชนด้วย
3. บริษัทมีการบริหารงานที่ดี ผลิตสินค้าตามที่ผู้บริโภคต้องการ ทำให้ผู้บริโภคได้รับความพอใจ ซึ่งถือว่าให้ประโยชน์แก่สังคมโดยรวม
4. จริยธรรมทางธุรกิจ โดยกาปฎิบัติต่อที่เกี่ยวข้องด้วยความซื่อสัตย์และยุติธรรม
ตอบ 3.2 ถ้าท่านเป็นผู้บริหารธุรกิจ ท่านจะวางนโยบายการเงินเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ท่านได้วางไว้นั้นอย่างไร
1. Moderate Approach (Maturity Matching) : นโยบายนี้จะจัดหาหนี้สินที่มีระยะเวลาเท่ากับระยะเวลาการลงทุนในสินทรัพย์ คือ การลงทุนในสินทรัพย์ถาวรและสินทรัพย์หมุนเวียนขั้นต่ำ จะจัดหาเงินทุนจากแหล่งเงินทุนระยะยาว ส่วนสินทรัพย์หมุนเวียนที่เพิ่มขึ้นเป็นการชั่วคราวจะจัดหาจากแหล่งงเงินกู้ระยะสั้นที่ไม่ได้เกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ (Non Spontaneous Debt Financing) เช่น เครื่องจักรอายุ 5 ปี ก็จัดหาเงินโดยการกู้ยืมระยะเวลา 5 ปี แต่มีปัจจัย 2 ประการที่ทำให้กำหนดอายุของเงินทุนที่จัดหามาเท่ากับอายุของสินทรัพย์ได้ยากคือ
a. อายุของสินทรัพย์อาจไม่แน่นอน เช่น บริษัทลงทุนในสินค้าคงเหลือโดยกู้เงินระยะเวลา 30 วัน เมื่อขายสินค้าได้จะชำระคืนเงินกู้ แต่ปรากฏว่าสินค้าขายได้น้อย จึงไม่สามารถชำระคืนเงินกู้ได้ตามกำหนด
b. ถ้าจัดหาเงินทุนโดยใช้ส่วนของผู้เป็นเจ้าของ เช่น หุ้นสามัญจะมี่กำหนดเวลาไถ่ถอน
2. Relatively Aggressive Approach : นโยบายนี้ค่อนข้างจะมีความเสี่ยง คือ สินทรัพย์หมุนเวียนขั้นต่ำบางส่วนจัดหาเงินทุนจากแหล่งเงินกู้ระยะสั้นที่ไม่ได้เกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ เนื่องจากหนี้สินระยะสั้นมีต้นทุนต่ำกว่าหนี้สินระยะยาว ผู้บริหารที่ชอบเสี่ยงมากจะมีสัดส่วนการจัดหาเงินทุนจากแหล่งเงินกู้ระยะสั้นที่ไม่ได้เกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติเพื่อการลงทุนในสิ้นทรัพย์หมุนเวียนขั้นต่ำมากขึ้น หรือรวมทั้งการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรบางส่วนด้วยเพื่อแลกกับโอกาสที่จะได้รับกำไรสูงขึ้น
3. Conservative Approach : นโยบายนี้ถือหลักความปลอดภัย คือไม่ชอบเสี่ยง การลงทุนในสินทรัพย์หมุนเวียนมีความปลอดภัยเพราะสินทรัพย์หมุนเวียนขั้นต่ำ และสินทรัพย์หมุนเวียนชั่วคราวบางส่วนจัดหามาจากแหล่งเงินทุนระยะยาว ใช้หนี้สินระยะสั้นที่ไม่ได้เกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติลงทุนในสินทรัพย์หมุนเวียนชั่วคราวช่วงที่มียอดขายสูงบางส่วน เมื่อยอดขายลดลงตามฤดูกาลก็จะนำเงินทุนที่เกินความจำเป็นนี้ไปลงทุนซื้อหลักทรัพย์ในความต้องการของตลาดเพื่อให้ได้รับผลตอบแทนบ้าง
สรุป......................................................
ตอบ 3.3 ท่านจะต้องคำนึงถึงปัจจัยอื่นใดอีกหรือไม่
ปัจจัยภายในบริษัท
1. การคาดคะเนกำไรต่อหุ้น
2. ช่ววเวลาที่จะได้รับผลกำไรนั้น
3. ความเสี่ยงของกำไรที่คาดว่าจะได้รับ
4. การจัดหาเงินทุนจากหนี้สิน
5. นโยบายเงินปันผล
ปัจจัยภายนอก
1. ข้อกฎหมายต่าง ๆ
2. ภาวะเศรษฐกิจ
3. กฎหมายภาษีอากร
4. ภาวะของตลาดหลักทรัพย์
ข้อ 4 ถ้าบริษัทมีโครงการลงทุนซึ่งใช้เงินลงทุนประมาณ 70 ล้านบาท ท่านจะแนะนำให้บริษัทใช้เกณฑ์ในการพิจารณาอะไร ระหว่าง Payback Period, Net Present Value (NPV) Internal Rate of Return (IRR) ให้ยกเหตุผลประกอบคำตอบของท่านด้วย
ตอบ 4.1 Payback Period ระยะเวลาในการคืนทุน โดยเกณฑ์นี้จะพิจารณาว่าต้องใช้ระยะเวลานานเท่าใดรายได้สุทธิของโครงการจึงจะชดเชยเงินลงทุนของโครงการได้หมด
ข้อดี 1. คำนวณง่าย ทราบว่าลงทุนแล้วจะคืนทุนเมื่อไร โครงการที่คืนทุนเร็วจะมีสภาพคล่องมาก
2. ทราบความเสี่ยงของโครงการเบื้องต้น ยึดหลักความปลอดภัยของเงินลงทุน (คืนทุนเร็วย่อมปลอดภัยกว่าคืนทุนช้า)
ข้อเสีย 1. ไม่คำนึงถึงมูลค่าตามเวลา การลงทุนจ่ายเงินปี 0 แต่ผลประโยชน์จะทยอยตามมา
2. ไม่สนใจกระแสเงินสดที่เกิดขึ้นหลังจากที่คืนทุนแล้ว
ตอบ 4.2 Net Present Value (NPV) เป็นการคำนวณมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดรับและกระแสเงินสดจ่ายในแต่ละงวดโดยใช้ต้นทุนของเงินทุนเป็นอัตราส่วนลด โดยค่าที่ได้จะเป็นจำนวนเงิน ซึ่งถ้า NPV เป็นบวก ควรรับโครงการ ถ้า NPV เป็นลบ ควรปฎิเสธโครงการ กรณีที่ค่า NPV เป็นบวกแสดงว่าโครงการนั้นมีผลตอบแทนมากกว่าอัตราผลตอบแทนที่ต้องการ จึงมีส่วนทำให้กิจการได้ประโยชน์จากการที่มีเงินสดสส่วนเกินเกิดขึ้น ทำให้เกิดผลในด้านบวกต่อ EVA และ MVA
ตอบ 4.3 Internal Rate of Return (IRR) อัตราผลตอบแทนของโครงการที่คาดว่าจะได้รับ คืออัตราส่วนลดที่ทำให้มูลค่าปัจจุบันขอ
กระแสเงินสดจ่าย โดยค่าที่ได้ออกมาเป็นเปอร์เซ็นต์ โดยจะเลือกโครงการที่ให้ IRR > ต้นทุนของเงิน และปฎิเสธโครงการที่ให้ IRR < ต้นทุนของเงิน
ตอบ 4.4 สรุป ในการพิจารณาโครงการลงทุนนั้นควรใช้ทั้ง 3 ประกอบกันเพื่อช่วยในการตัดสินใจแต่ละโครงการ โดยใช้ Payback Period เพื่อจะได้ทราบว่าโครงการลงทุนมีความเสี่ยงและสภาพคล่องเพียงไร อีกทั้งใช้ NPV ช่วยประเมินโครงการว่าให้ผลตอบแทนมากน้อยเพียงใดโดยประเมินในรูปของตัวเงิน ประกอบกับใช้ IRR ช่วยประเมินว่าโครงการนั้นให้ผลตอบแทนกี่เปอร์เซ็น ซึ่งผู้ตัดสินใจจะชอบมาก และยังให้ข้อมูลเกี่ยวกับความปลอดภัย (Safety Margin) ของโครงการ เช่น โครงการ S มี IRR 65% โครงการ L มี IRR 15.5% หมายความว่า ผลตอบแทนของโครงการ S สามารถลดลงได้มากกว่าโดยที่ไม่ทำให้โครงการขาดทุน แต่โครงการ L ลดลงได้เล็กน้อย
ข้อ 5 นโยบายเงินปันผลมีความสำคัญอย่างไร และมีผลกระทบต่อราคาหุ้นสามัญของบริษัทอย่างไร เป็นไปได้หรือไม่ที่บริษัทไม่ประกาศจ่ายเงินปันผลเลย แต่หุ้นสามัญของบริษัทก็ยังคงได้รับความนิยมจากการผู้ลงทุนที่อยากจะเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นบริษัท ให้อธิบายและยกเหตุผลประกอบ
ตอบ 5.1 นโยบายเงินปันผลมีความสำคัญอย่างไร
ทฤษฎีเกี่ยวกับการจ่ายเงินปันผลที่สำคัญมี 3 ทฤษฎี (ต้องจำให้ได้)
1.The Dividend – Irrelevance Theory การนำไปใช้จะกำหนดอัตราเงินปันผลที่เท่าไหร่ก็ได้
- นโยบายเงินปันผลไม่กระทบต่อราคาหุ้นสามัญหรือต้นทุนของเงินทุน
- มูลค่าของกิจการจะถูกกำหนดโดยความสามารถในการทำกำไร และความเสี่ยงทางธุรกิจเท่านั้น
- มูลค่าของกิจการขึ้นอยู่กับรายได้ที่เกิดจากสินทรัพย์ของบริษัท ไม่ใช่การนำผลกำไรมาแบ่งเป็นเงินปันผลเหลือไว้เป็นกำไรสะสม
ถ้าบริษัทไม่จ่ายเงินปันผล ผู้ลงทุนก็สามารถขายหุ้นที่มีอยู่ออกไปได้ หรือถ้าได้รับเงินปันผลมากกว่าที่คิดไว้ก็จะนำมาซื้อหุ้นเพิ่ม (โดย M&M มีข้อสมมุติที่สำคัญคือ ไม่มีค่าภาษี และไม่มีค่านายหน้าในการซื้อขายหุ้นสามัญ ซึ่งเป็นข้อสมมติที่ไม่เป็นความจริง
2. The Bird In Hand Theory การนำไปใช้จะกำหนดอัตราเงินปันผลไว้สูง
ทฤษฏีนี้กล่าวไว้ว่า “ มูงค่าของกิจการจะสูงสุดถ้ากำหนดอัตราการจ่ายเงินปันผลไว้สูง”
ต้นทุนของเงินทุนจะลดลง ถ้าบริษัทจ่ายเงินปันผลสูงขึ้น เพราะผู้ลงทุนมีความมั่นใจเกี่ยวกับกำไรส่วนทุนในอนาคตที่จะได้รับน้อยกว่าการได้รับเงินปันผล และเงินปันผลในปัจจุบันมีความแน่นอนมากกว่ากำไรส่วนทุน เพราะอัตราผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับมีความเสี่ยงมากกว่า
3. The Tax Preference Theory การนำไปใช้จะกำหนดอัตราเงินปันผลไว้ต่ำ
ทฤษฎีนี้มีเหตุผลเกี่ยวกับภาษี 3 ประการ ซึ่งทำให้ผู้ลงทุนชอบเงินปันผลที่ต่ำคือ
3.1 อัตราภาษีของเงินปันผลสูงกว่ากำไรส่วนทุน ผู้ลงทุนยินดีให้กิจการนำกำไรส่วนใหญ่ไปลงทุนเพื่อทำให้ราคาหุ้นสามัญสูงขึ้น ทำให้ผู้ลงทุนได้รับประโยชน์จากการขายห้วุนสามัฐได้ในราคาสูง แต่เสียภาษีจากกำไรส่วนทุนต่ำ
3.2 ภาษีของกำรส่วนทุน ผู้ลงทุนยังไม่ต้องจ่ายจนกว่าจะขายหุ้นนั้นได้ เงินภาษีที่จ่ายในอนาคตจึงมีต้นทุนที่แท้จริงต่ำกว่าปัจจุบัน
3.3 เมื่อผู้ถือหุ้นถึงแก่กรรม ผู้รับมรดก จะใช้มูลค่าหุ้น ณ. นที่ผู้ถือหุ้นถึงแก่กรรมเป็นต้นทุนของหุ้นได้ แม้ว่าหุ้นจะมีราคาสูงกว่าราคาที่ผู้ถือหุ้นเดิมซื้อไว้ก็ไม่ต้องเสียภาษีจากกำไรส่วนทุน
สรุป ทฤษฏีเงินปันผลใดดีที่สุด ไม่สามารถที่จะระบุได้ จะแล้วแต่มุมมองและความพึงพอใจ
ตอบ 5.2 มีผลกระทบต่อราคาหุ้นสามัญของบริษัทอย่างไร
การคิดเงินปันผลจะเกิดจากการที่บริษัทนำเงินที่ได้จากการออกหุ้น แล้วนำเงินไปทำธุรกิจ จนก่อให้เกิดผลกำไร โดยกำไรแบ่งออกเป็น 2 ส่วน
ส่วนที่ 1 บริษัทจะนำเงินที่เป็นกำไรในปีนี้ไปลงทุนโครงการในปีหน้า เรียกว่า กำไรส่วนทุน
ส่วนที่ 2 กำไรที่เหลือจากกำไรส่วนทุน บริษัทจะนำเงินส่วนนี้มาเฉลี่ยต่อหุ้น บริษัทก็จะประกาศจ่ายเงินปันผลต่อหุ้นว่าจะจ่ายต่อหุ้นเป็นจำนวนเท่าไหร่ การประกาศจ่ายเงินปันผลแต่ละปี มีผลต่อจิตวิทยาในการลงทุนของนักลงทุน โดยนักลงทุนจะมองว่าการจ่ายเงินปันผลในแต่ละปีของบริษัทจะมากหรือน้อย เกิดจากความสามารถในการทำกำไรของบริษัทได้ ก็จะมีผลต่อราคาหุ้นในสถานการณ์นั้นๆ ในแต่ละปี
ในความคิดเห็นของการวางนโยบายเงินปันผลของบริษัท ควรจะใช้นโยบายเงินปันผลปีแรกต่ำ แล้วค่อยๆ เพิ่มทีละนิดในปีต่อๆ ไป เพื่อนักลงทุนจะได้มองว่า บริษัทมีผลประกอบการอยู่ในเกณฑ์ดี มีความสามารถในการทำกำไรเพิ่มขึ้นทุกๆ ปี ส่งผลให้ราคาหุ้นอยู่ในสภาพที่เหมาะสม
นักลงทุนจะคิดคำนวนอยู่เสมอถึงการลงทุน ความเสี่ยงกับอัตราผลตอบแทนที่จะได้รับ เหมาะสมกับการลงทุนหรือไม่
ตอบ 5.3 เป็นไปได้หรือไม่ที่บริษัทไม่ประกาศจ่ายเงินปันผลเลย
เป็นไปได้ คือ
1. กรณีที่ผลประกอบการของบริษัทขาดทุน ทำให้ไม่สามารถจ่ายเงินปันผลได้แต่ในกรณีที่เป็นหุ้นกู้นั้น ทางบริษัทจะต้องจ่ายดอกเบี้ยจ่ายซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นประจำ ไม่ว่าบริษัทจะขาดทุนก็ตาม ต่างจากหุ้นสามัญที่เงินปันผลได้มาจากกำไรจากดำเนินงาน ฉะนั้นการไม่ประกาศจ่ายเงินปันผลแก่หุ้นสามัญสามารถทำได้
2. กรณีที่บริษัทมีโครงการลงทุนใหม่
ตอบ 5.4 บริษัทไม่ประกาศจ่ายเงินปันผลเลย แต่หุ้นสามัญของบริษัทก็ยังคงได้รับความนิยมจากการผู้ลงทุนที่อยากจะเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นบริษัท ให้อธิบายและยกเหตุผลประกอบ
1. อำนาจในการบริหารบริษัท เนื่องจากผู้ถือหุ้นสามัญมีสิทธิ์เลือกคณะกรรมการบริษัท และคณะกรรมการบริษัทจะเลือกผู้บริหารมาดำเนินงานบริษัทต่อไป ซึ่งถ้าบริหารงานได้มีประสิทธิภาพจนทำให้บริษัทมีกำไร ก็สามารถจ่ายเงินปันผลได้
2. มีโอกาสที่จะได้รับกำไรจากการขายหุ้น ผู้ลงทุนอาจได้กำไรจากการขายหุ้นสามัญเพราะขายหุ้นในราคาสูงกว่าราคาทุน เช่น ตัวอย่าง บริษัท อัลไลด์ จำกัด ปี 2002 มูลค่าตามราคาตลาดในส่วนของเจ้าของ ณ 31 ธันวาคม 2002 เท่ากับ 1,150 ล้านบาท แต่ตัวเลขแสดงส่วนของเจ้าของตามที่ปรากฏในงบดุล เท่ากับ 896 ล้านบาท ดังนั้น MVA จึงเท่ากับ 1,150 - 896 = 254 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลต่างระหว่างเงินที่ผู้ถือหุ้นได้จ่ายลงทุนเมื่อเริ่มตั้งบริษัท บวกกับกำไรสะสมที่ทำมาหาได้จนถึงปัจจุบัน ไปเปรียบเทียบกับเงินที่จะได้จาการขายธุรกิจนี้